เรื่องสิวเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งยังเป็นปัญหาผิวหน้าในผู้หญิงเกือบจะทุกคน หรือแม้กระทั่งกับผู้ชายเองก็ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสิวเสี้ยน สิวอุดตัน สิวอักเสบ สิวหัวช้างมากมายไปหมด แต่ “สิวผด” หรือ “สิวผื่น” ซึ่งมักเกิดจากการแพ้อะไรบางอย่าง เช่น แพ้เหงื่อ แพ้น้ำ แพ้ฝุ่น หรือการแพ้เครื่องสำอางบางตัว มาดูกันว่าสิวผดหรือสิวผื่นคืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร แล้วเราจะมีวิธีรักษาสิวผดได้อย่างไรบ้าง : วิธีรักษาฝ้า
สิวผด คืออะไร
สิวผด (Acne estivalis) เป็นสิวประเภทหนึ่ง สามารถพบได้บ่อย มีลักษณะคล้ายกับผดผื่นเม็ดเล็ก ๆ มีปลายผดแหลม โดยมีทั้งประเภทอักเสบและไม่อักเสบ ส่วนใหญ่มักจะเริ่มปรากฏบนผิวหนังในช่วงบ่าย ๆ และอาจจะหายไปในเวลาเช้าของอีกวัน
โดยส่วนมากแล้ว สิวผดอาจปรากฏขึ้นเป็นผื่น มีสีแดงและอาจเกิดอาการคันที่ผื่นได้ ส่วนบริเวณผิวหนังที่สามารถพบสิวผดได้บ่อย ๆ คือ ผิวหนังบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณขมับและหน้าผาก และยิ่งถ้าในช่วงที่อากาศร้อน โดยเฉพาะช่วงบ่าย สิวผดอาจจะเห่อมากกว่าปกติ ซึ่งจะต่างกับในช่วงเช้าที่จะมีการปรากฏของสิวผดน้อยกว่าหรือไม่มีเลย และหลายคนเมื่อพบว่าเป็นสิวผดแล้ว อาจจะแก้ปัญหาด้วยการล้างหน้าให้บ่อยครั้งขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว ยิ่งล้างหน้าสิวผดยิ่งเห่อมากขึ้น และถ้ารักษาสิวผดไม่ถูกต้องก็จะยิ่งเป็นหนักมากกว่าเดิม
สิวผดกับสิวอุดตัน ความคล้ายกันที่แยกยาก
สิวผดกับสิวอุดตัน มีความคล้ายกันเป็นอย่างมาก ทำให้หลายคนอาจจะยังแยกไม่ออก ซึ่งบ่อยครั้งก็ทำให้รักษาสิวผดแบบผิดวิธี และส่งผลให้รักษาสิวผดไม่หายขาดสักที โดยสิวผดนั้นเกิดจากอาการแพ้ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายต่อแวดล้อมภายนอก มักจะแสดงอาการเมื่ออุณหภูมิของอากาศเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งอากาศร้อนเท่าไร ก็ยิ่งเป็นรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น หรืออาจเกิดความระคายเคืองบนผิวหนัง เช่น การแพ้ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอาง ก็มีส่วนทำให้เกิดความระคายเคือง ซึ่งสามารถกระตุ้นสิวผดได้
ลักษณะของสิวผดและสิวอุดตัน
สิวผดมีลักษณะทั่วไปคล้ายกับผดผื่นเม็ดเล็ก ๆ เป็นตุ่มสีแดงใส ๆ ในบางรายอาจเกิดตุ่มน้ำใสได้ และถ้าเป็นรุนแรงอาจจะเกิดเป็นตุ่มหนอง มักเกิดขึ้นบริเวณหน้าผาก โดยอาการของสิวผด มักจะมีอาการแสบคันบริเวณผื่น และถ้าหากบีบหรือแกะเกา อาจทำให้เกิดสิวอักเสบบวมแดง และลุกลามเพิ่มขึ้น
ส่วนในกรณีของสิวอุดตัน มักเกิดจากอุดตันของรูขุมขน ซึ่งมีสาเหตุหลัก ๆ จากการที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป ทำให้น้ำมันที่ผลิตออกมารวมตัวกับเศษไคลของผิวหนัง ส่งผลให้รูขุมขนไม่สามารถขับสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกมาได้ น้ำมันก็จะแข็งตัวฝังอยู่ในรูขุมขน เกิดเป็นสิวอุดตันในที่สุด
สิวอุดตันมีได้หลายประเภทตามลักษณะการอุดตันและการเปิดของรูขุมขน ถ้ารูขุมขนเปิด สิ่งสกปรกต่าง ๆ จะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น กลายเป็นสิวอุดตันหัวดำ (blackhead) แต่ถ้ารูขุมขนยังปิด สิ่งสกปรกก็ยังไม่เปลี่ยนสี จะเรียกว่าสิวอุดตันหัวขาว (whitehead) โดยสิวอุดตันจะมีความแตกต่างกับสิวผดอย่างชัดเจนที่อาการคัน สิวอุดตันจะไม่คัน ไม่เจ็บ เพียงแต่สร้างความรำคาญและทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน และสามารถพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบได้ เมื่อเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อ P. Acne
สิวผดเกิดจากอะไร
1. สิวผดส่วนใหญ่ มักเกิดจากผิวหนังโดนแสงแดดและความร้อน ซึ่งทำให้ผิวหนังต้องเร่งการขับเหงื่อ แต่เมื่อต่อมเหงื่อไม่สามารถระบายเหงื่อออกได้หมด ก็จะทำให้เกิดการอุดตันของต่อมเหงื่อ กลายเป็นตุ่มน้ำเล็ก ๆ คล้ายกับผดผื่น แต่เมื่ออากาศเย็นลง สิวผดเหล่านี้ก็จะยุบตัวลงและหายไป และถ้าอากาศร้อนขึ้น สิวผดก็จะเห่อขึ้น จึงทำให้สิวผดเป็นปัญหาผิวหนังที่รักษาได้ยาก ก็เนื่องเพราะสภาพอากาศของประเทศไทยที่ร้อนชื้นอยู่ตลอดทั้งปีนั่นเอง
2. นอกจากการอุดตันของต่อมเหงื่อแล้ว สิวผดอาจเกิดจากเชื้อยีสต์ที่เรียกว่า P. ovale ซึ่งเกี่ยวข้องกับมลภาวะต่าง ๆ รอบตัว โดยถ้าอากาศร้อนหรือเป็นคนที่ผิวหน้ามันมาก น้ำมันส่วนเกินบนผิวหน้าจะกลายเป็นอาหารของยีสต์ชนิดนี้ เมื่อยีสต์แบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็จะทำให้ผิวหนังเกิดสิวผดได้
3. การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น เป็นคนที่มีผิวหน้าแห้ง แต่ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับหน้ามัน ก็จะทำให้ผิวหน้าแห้งเกินไป เกิดความระคายเคืองและจะกระตุ้นทำให้เกิดสิวผดได้
4. หลายคนรักษาความสะอาดผิวหน้าเป็นอย่างดี แต่ก็ยังเกิดสิวผดขึ้นอยู่ ก็อาจมีสาเหตุจากการแพ้น้ำประปาหรือแพ้เหงื่อของตนเองได้
5. การล้างหน้าด้วยน้ำร้อน อาจทำให้ผิวหนังเกิดความระคายเคือง เกิดสิวผดได้ การใช้น้ำอุ่นล้างหน้าเป็นประจำ
6. เกิดความระคายเคืองของผิว จากการกระตุ้นโดยมลพิษต่าง ๆ ในสิ่งแวดล้อมทั้งมลภาวะทางน้ำ และทางอากาศ
7. นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนแอหรือทานอาหารที่มีสารอาหารไม่ครบถ้วน ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวผดได้
วิธีป้องกันสิวผด
หลีกเลี่ยงแสงแดด
เนื่องจากแสงแดดและความร้อนเป็นสาเหตุหลักของปัญหาสิวผด การหลีกเลี่ยงแสงแดดจึงเป็นวิธีป้องกันสิวผดที่ดีที่สุด แต่กลับพบว่าเป็นวิธีที่ยากที่สุดเช่นกันที่จะหลีกเลี่ยงแสงแดดได้พ้น วิธีการแก้ปัญหาที่เราพอจะทำได้นั่นก็คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่มีความเหมาะสมกับสภาพผิว ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF ที่เหมาะสม ไม่ควรเลือก SPF ที่สูงเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความอุดตัน นอกจากนี้ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันรังสียูวีเอได้ โดยการสังเกตดูที่ค่า PA ที่จะระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์
หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ก่อความระคายเคือง
อีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นสาเหตุของสิวผด นอกจากแสงแดดและความร้อนแล้ว ยังมีเครื่องสำอาง สกินแคร์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหน้าและเส้นผม ที่อาจก่อความระคายเคืองแก่ผิว กระตุ้นทำเกิดสิวผด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเอเอชเอ (AHA) สารบีเอชเอ (BHA) รวมถึงกรดวิตามินเอ (retinoids) ซึ่งล้วนทำให้เกิดความระคายผิวได้ ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะสามารถช่วยรักษาสิวผดได้ แต่ถ้าผิวหน้าของคุณไม่สามารถรับกับสารเหล่านี้ได้ มันก็จะกระตุ้นทำให้เกิดสิวผดขึ้นมาแทน
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง
พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การแกะสิว การบีบสิว การเช็ดผิวหน้าแรง ๆ การสัมผัสผิวหน้าบ่อย ๆ อาจจะกระตุ้นผิวหน้า ทำให้เกิดความระคายเคือง เกิดสิวผดได้ ถ้าไม่อยากเป็นสิวผด รวมถึงสิวชนิดอื่น ๆ โดยเฉพาะสิวอักเสบ ควรหยุดพฤติกรรมเหล่านี้เสีย ก็จะทำให้ผิวหน้าของคุณสวยใสไร้สิวได้แล้ว
ล้างหน้าอย่างถูกวิธี
ถ้าคุณกำลังเจอกันปัญหาสิวผดเล่นงาน ควรล้างหน้าเพียงแค่วันละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว เพราะการล้างหน้าบ่อย ๆ จะกระตุ้นทำให้ปัญหาสิวผดเกิดรุนแรงขึ้น ไม่ควรใช้น้ำที่ร้อนจัดล้างหน้า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยน และหลังจากทำกิจกรรมที่ทำให้ผิวหน้าสกปรก เช่น ออกกำลังกาย หรือทำงานกลางแจ้ง ก็ควรล้างหน้าเพื่อกำจัดเอาสิ่งสกปรก คราบไขมัน และฝุ่นละอองต่าง ๆ ออก
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวหน้า
ถ้ามีผิวหน้าที่บอบบางและแพ้ง่าย ซึ่งเสี่ยงต่อความระคายเคืองจากสารเคมีต่าง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารจากธรรมชาติหรือสมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์ที่ทดสอบโดยห้องวิจัยที่น่าเชื่อถือแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ รวมถึงควรพิถีพิถันกับการดูแลผิวหน้า ตั้งแต่ขั้นตอนการล้างหน้าไปจนถึงการทาครีมบำรุง
ดูแลตนเอง พักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนเพียงพอ จะทำให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง เนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่ผิดปกติก็จะถูกซ่อมแซม ฮอร์โมนต่าง ๆ ทำงานเป็นปกติ รวมถึงยังไม่ทำให้เกิดความเครียดอีกด้วย การนอนหลับไม่พอ จะทำให้ร่างกายเกิดความเครียด ฮอร์โมนความเครียดจะถูกหลั่งออกมา ระดับน้ำตาลผิดปกติ และสุดท้ายก็อาจแสดงความผิดปกติออกมาในรูปของสิว
ทานผักผลไม้ และอาหารอื่น ๆ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน
ผักผลไม้มีสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงผิวหน้าหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ผิวหน้าของเราทนต่อการทำลายของความร้อนและแสงแดดมากขึ้น นอกจากนี้อาหารทะเลอย่างหอยนางรม มีธาตุสังกะสี (zinc) ซึ่งพบว่ามีส่วนช่วยเรื่องปัญหาสิวต่าง ๆ รวมถึงสิวผดได้เช่นกัน
วิธีรักษาสิวผด
วิธีรักษาสิวผด มีด้วยกันหลากหลายวิธี มาดูกันว่าเราจะสามารถรักษาสิวผดให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง
ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole)
ยาคีโตโรนาโซลเป็นยาสำหรับรักษาโรคติดเชื้อราต่าง ๆ อาจนำมาแก้สิวผดที่เกิดจากเชื้อยีสต์ P.ovale ได้ โดยยาชนิดนี้มีทั้งชนิดรับประทานและชนิดทาภายนอก ชนิดรับประทานมักใช้สำหรับโรคติดเชื้อราที่เป็นทั่วร่างกาย เช่น กลาก เกลื้อน และมีอันตรายต่อตับ รวมถึงยังเกิดอันตรกิริยากับยาชนิดอื่น ๆ ได้ง่าย แต่การรักษาสิวผดมักจะใช้ยาคีโตโคนาโซลในรูปแบบทาภายนอก ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า
ยาอะดาพาลีน (adapalene)
เป็นยาในกลุ่มเดียวกับกรดวิตามินเอ จะช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้รูขุมขนเล็กลง ต่อมไขมันทำงานลดลง หน้ามันลดลง มีจำหน่ายในชื่อ “ดิฟเฟอริน” อย่างไรก็ตามยาในกลุ่มนี้ควรใช้อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
การทำเลเซอร์ (laser)
เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการช่วยรักษาสิวผด เนื่องจากเป็นวิธีที่รวดเร็ว เห็นผลได้ชัด อีกทั้งยังสามารถใช้รักษาปัญหาผิวหน้าได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน รอยด่างดำ รอยหลุมสิว ซึ่งการปรึกษาและรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็จะทำให้คุณสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด
การรักษาสิวผดด้วยแร่ธาตุสังกะสี
ธาตุสังกะสีเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ช่วยในการสมานแผลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เซลล์มีการแบ่งตัวได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น บ่อยครั้งที่พบว่าบางคนที่มีผิวพรรณไม่สดใส อาจเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีไม่เพียงพอก็ได้ นอกจากนี้ในคนที่เป็นสิวอักเสบ หลังจากหัวสิวหายจากการอักเสบแล้ว สังกะสียังช่วยทำให้แผลสมานตัวเร็ว จึงช่วยลดรอยด่างดำ และรอยหลุมสิวที่อาจจะเกิดขึ้นได้
มีวิจัยพบว่าการรับประทานสังกะสีเป็นเวลาประมาณ 4 สัปดาห์ มีการลดจำนวนของสิวผด สิวตุ่มหนองที่เกิดขึ้น อีกทั้งสังกะสียังเกี่ยวข้องกับสมดุลฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศ ควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน ถ้าฮอร์โมนชนิดนี้ทำงานเป็นปกติ ปัญหาผิวหน้าต่าง ๆ ก็มีแนวโน้มลดลง
สังกะสียังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงยังเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้สังกะสีช่วยต่อต้านแบคทีเรียต่าง ๆ ที่เป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาสิวบนใบหน้าได้ การรับประทานแร่ธาตุสังกะสี (zinc) ในปริมาณ 8 มิลลิกรัมต่อวันในผู้หญิง และ 11 มิลลิกรัมต่อวันในผู้ชาย จะช่วยรักษาสิว รวมถึงโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น เรื้อนกวาง และสะเก็ดเงิน แต่การทานสังกะสีมากเกินไปก็ส่งผลต่อร่างกาย โดยปริมาณมากสุดต่อวันที่ควรได้รับ ไม่ควรเกิน 40 มิลลิกรัม ซึ่งผู้ที่มีสิวผดสามารถรับประทานทองแดง (copper) ร่วมกับสังกะสี โดยทานก่อนสังกะสีสัก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันปัญหาที่เกี่ยวกับการดูดซึมสังกะสี นอกจากนี้การทานสังกะสีร่วมกับอาหารเสริมธาตุเหล็ก อาจทำให้สังกะสีถูกดูดซึมลดลง
สังกะสียังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงยังเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้สังกะสีช่วยต่อต้านแบคทีเรียต่าง ๆ ที่เป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาสิวบนใบหน้าได้ การรับประทานแร่ธาตุสังกะสี (zinc) ในปริมาณ 8 มิลลิกรัมต่อวันในผู้หญิง และ 11 มิลลิกรัมต่อวันในผู้ชาย จะช่วยรักษาสิว รวมถึงโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น เรื้อนกวาง และสะเก็ดเงิน
บทความเรื่องสิว